ย้อนกลับไปตอนก่อนๆที่เดินทางตามดู 10 อุทยานประวัติศาสตร์ แล้วก็เว้นว่างไปนาน
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตอน 1 ตอน 2
ช่วงกลางปีได้ไปอีกทีช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เนื่องจากพาเด็กดอยไปหาหมอฟันที่ขอนแก่น เลยขอผ่านไปแวะ อุทยานประวัติศาสตร์แห่งที่ 9 “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ถือเป็นจุดหมายปลายทางของทริปพาเด็กดอยทำฟันละ
- นครราชสีมาโบราณ
- ขอนแก่น
- >>> อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรเพราะหารูปใน google ก็ไม่มีรูปอะไรให้ดูเท่าไหร่ เอาแค่ครึ่งวันระหว่างที่เด็กดอยรอหมอฟันก็พอเพียงเหลือแหล่ ที่นี่มีร่องรอยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ โดยการอาศัยอยู่ในเพิงหิน และรูปเขียนสีที่มีอายุกว่า 2,000 – 3,000 ปีก่อน ทั้งยังพบอารยธรรมสมัยทวารวดี-ลพบุรี และล้านช้าง ดังนี้เองเราจะได้เห็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคสมัยต่างๆในที่เดียว
UPDATE !!! มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่นี่อีก (ไม่ใช่โอกาสหรอก ตั้งใจไปเก็บตกน่ะแหล่ะ) ตอนแรกว่าจะต่อของเดิม แต่เก็บนุ่นนิดนี่หน่อย เอาไปแทรกของเดิมดีกว่า รูปที่ไปเที่ยวรอบใหม่นี่คือรูปที่ไม่มีลายน้ำนะ
พระพุทธบาทบัวบก
ชื่อนี้เพราะคาดว่าแต่ก่อนมีบัวบกเยอะ ที่นี่ไม่เก่าเท่าไหร่ เพิ่งสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2460 – 2473 นี้เอง
หลังจากชมที่นี่จบแล้วยังมีอีกหลายที่ให้เที่ยว แต่เนื่องจากเดินไกล และต้องไปรีบเด็กดอยที่รอแหง่วอยู่ที่เซนทรัลขอนแก่นกว่า 3 ชั่วโมง จึงต้องรีบกลับละ บางท่านอาจสงสัย “แล้วนางอุสานี่มันใครฟระ ?” ที่จริงบริเวณนี้เคยเป็นศาสนสถานในยุคทวารวดีช่วงปีพุทธศตวรรษที่ 14 -16 จากใบเสมาเก่าที่อยู่รอบบริเวณ ส่วนนิทานท้าวบารสเป็นนิทานที่เอามาแต่งใส่ในภายหลัง จากนิทานพื้นบ้านเรื่อง อุสาบารส เนื้อหาคือกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองพานปกครองโดยพระยาพาน พระยาพานมีลูกสองคนคือท้าวพานนา และนางสมัญญา วันหนึ่งพระยาพานเดินเล่นในป่า และได้พบกับเด็กหญิงหน้าตาดีชื่อว่านางอุสาที่ถูกเลี้ยงดูโดยฤาษี พระยาพานถูกใจนางอุสามากจึงอยากขอตัวมาเป็นลูก ลูกแท้ๆอย่างท้าวพานนาและนางสมัญญาก็รักนางอุสาดุจพี่น้องท้องเดียวกัน เมื่อนางอุสาโตเป็นสาวงดงามมากจนร่ำลือไปไกลถึงพระยาไกลาสผู้ครองเมืองภูเงิน พระยาไกรลาสอยากได้นางอุสามาเป็นมเหสีจึงนำทองคำและเงินมาถวายพระยาพานเพื่อขอนางอุสาไปเป็นมเหสีแต่นางอุสาปฏิเสธพระยาไกรลาสจึงคอตกกลับบ้านไป (คือจะบอกว่าสวยเลือกได้)
จนวันหนึ่งท้าวบารสพระราชบุตรของพระยากิตติกรนารายณ์สี่มือเจ้าเมืองปะโคเดินป่าจนมาถึงไทรใหญ่แล้วหยุดพักผ่อนบริเวณนี้และสั่งให้เสนาอำมาตย์ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยเทวดาอารักษ์ท้องถิ่นทั้งหลาย เหล่าเทวดาจึงตอบแทนท้าวบารสโดยการพาท้าวบารสที่กำลังหลับอยู่ไปไว้ในหอของอุสา เมื่อตื่นขึ้นทั้งสองได้พบกันก็ปิ๊งๆๆและกินอยู่กันบนนั้นเป็นเวลา 7 คืน ในวันที่ 8 เทวดาก็พาท้าวบารสกลับไปไว้ที่ต้นไทรใหญ่เหมือนเดิม และเดินทางกลับเมืองปะโค พอนางอุสาตื่นขึ้นไม่พบท้าวบารส ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จึงไปคุยกับนางสมัญญา ด้วยความเอ็นดูและสงสารนางอุสาจึงวาดรูปกษัตริย์เมืองต่าง ๆ ให้ดูจนมาถึงรูปของท้าวบารสพระราชบุตรแห่งเมืองปะโคนางอุสาเห็นแล้วก็เป๊ะเลย คนนี้แหล่ะนางอุสาจึงรีบเขียนจดหมายไปถึงท้าวบารส ทันทีที่ท้าวบารสได้รับจดหมายจึงควบม้ามาหาทันที
เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้งก้กินอยู่กันในหอนางอุสาร่วมเดือน เมื่อพ่อตาอย่างพระยาพานทราบก็โกรธจัด สั่งจับตัวท้าวบารสไปขังไว้ ทันใดนั้นฤาษีจิตสัมผัสถึงเลยเดินทางเข้าวังขอให้พระยาพานปล่อยท้าวบารส แต่ก็ไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปบอกพระยากิติกรนารายณ์ เมื่อพ่อท้าวบารสได้รู้ข่าวจึงเขียนจดหมายเตือนพระยาพานไปว่า “ถ้าไม่ปล่อย มีบุก” พระยาพานไม่สนใจ “อยากบุกก็บุกมาสิ” จึงเกิดศึกระหว่างเมืองพานกับเมืองปะโค จนสุดท้ายพระยาพานเป็นฝ่ายแพ้และถูกฆ่าตาย ภายหลังนางอุสาได้ไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคแต่ต้องตรอมใจตลอดเวลาเพราะถูกนางสนมกระแนะกระแหน อีกทั้งท้าวบารสได้แล้วก็ไม่เอาใจใส่นางดั่งที่เคยอยู่ด้วยกันที่หอนางอุสา จนสุดท้ายตัดสินใจหนีกลับเมืองพานแต่ก็ยังอาลัยอาวรณ์คิดถึงท้าวบารสจนป่วย ท้าวพานนาและนางสมัญญาที่ดูแลอยู่จึงงแจ้งข่าวไปยังท้าวบารส เมื่อท้าวบารสทราบข่าวว่าจึงรีบบึ่งไปหานางอุสา แต่ช้าไปในระหว่างที่เดินทางอยู่นั้นนางอุสาช้ำใจตายไปแล้ว ท้าวพานนาและนางสมัญญารู้สึกสะเทือนใจก็เลยตายไปด้วย พอท้าวบารสเดินทางมาถึงรู้สึกผิดที่สามคนต้องตายก็เลยตรอมใจตายตามไปอีกคน การตายตามๆกันนี่เขาถือว่าเป็นความรักที่ทุกคนมีต่อกันอย่างบริสุทธิ์ทั้งหมดจึงได้ไปสวรรค์ จบ…ตอนจบตายหมด แหม่ เอานิทานของลาวมาเป็นหลักของอุทยานประวัติศาสตร์เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์มรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม เวบเขาทำไว้ทั้งแผนที่ค่อนข้างดีเลย แวะไปชมทางนี้ หรือทางนี้
Pingback: อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง | Blog my Log·
Pingback: Travel Wish list ประเทศไทย | Log 2 Blog·